เดือนตุลาคมวนกลับมาอีกครั้ง สิ่งหนึ่งที่ยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจของคนไทยทุกคนก็คือการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของปวงชนชาวสยามทุกคน แม้ว่าจะทรงจากพวกเราไปแล้ว แต่คุณความดีและสิ่งต่างๆ ที่ได้ทรงทำไว้เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์ได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขนั้นยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ ทั้งโครงการและแนวคิดการริเริ่มมากมายที่ก่อร่างสร้างประโยชน์ให้กับปวงชนชาวไทย
และเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 เราจึงขอใช้โอกาสนี้นำเรื่องเล่าพระราชอารมณ์ขันของพระองค์บางส่วนจากหนังสือ “พระราชอารมณ์ขัน” ที่ค้นคว้าและเรียบเรียงโดย วิลาศ มณีวัต และจากหลายๆ แหล่ง มาให้ทุกคนได้อ่านกัน เพื่อเป็นรอยยิ้มและเป็นพลังให้ทุกคนก้าวข้ามเดือนแห่งความเศร้านี้ไปได้
พระราชอารมณ์ขันของในหลวงรัชกาลที่ 9
1. พวกเดียวกัน
เคยมีนายตำรวจคนหนึ่งได้เล่าไว้ว่า ทุกครั้งที่ในหลวงร. 9 เสด็จฯ ออกเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ทุรกันดาร ผู้ใหญ่หรือกำนันบางคนก็พยายามที่จะกราบบังคมทูลด้วยราชาศัพท์ให้ถูกต้อง ซักซ้อมมาเป็นอย่างดี แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ กลับพูดออกไปด้วยความประหม่าว่า
“ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า…”
“เราพวกเดียวกันนะ…” ยังไม่ทันที่กำนันคนนั้นจะพูดจบ ในหลวงร.9 ก็ทรงรับสั่งขึ้นทันทีด้วยคำที่แสดงถึงความเมตตาและความใกล้ชิดเหมือนพ่อกับลูก พระองค์ไม่เคยทรงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ทรงโปรดการสนทนาอย่างใกล้ชิดกับประชาราษฎรเป็นอย่างมาก
2. เพียงสามมะขามป้อม
มีครั้งหนึ่งหลังจากที่ในหลวงร.9 ทรงปีนเขาขึ้นไปบนสันเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่ง มีผู้กราบบังคมทูลถามพระองค์ท่านว่า ภูเขาลูกที่ปีนเมื่อบ่ายวานซืนกับลูกนี้ ลูกไหนสูงกว่ากัน ทรงตรัสตอบว่า
“ลูกวานซืนนี้สูงกว่า เพราะฉันเคี้ยวมะขามป้อมถึงห้าลูกกว่าจะถึงยอด… แต่วันนี้เพียงสามมะขามป้อมเท่านั้น”
3. รู้สึกปวดแถวๆ นี้
มีครั้งหนึ่งระหว่างที่ในหลวงร.9 เสด็จฯ เยือนถิ่นชาวเขาพร้อมกับแผนที่ขนาดใหญ่ ดินสอแดง และวิทยุสื่อสาร พระองค์ได้ทรงตรัสขึ้นว่า
“กล่าวกันว่า พระราชอาณาจักรนั้นก็เหมือนกับพีระมิด คือ มีกษัตริย์อยู่ข้างบน ประชาชนอยู่ข้างล่าง แต่ในประเทศนี้กลับตรงกันข้าม…ก็เลยทำให้บางทีรู้สึกปวดแถวๆ นี้”
ทรงชี้ไปที่พระศอและพระอังสภาระ (ไหล่) พร้อมกับทรงแย้มพระโอษฐ์ด้วยความเมตตา ทรงให้ความสำคัญและใส่ใจกับปัญหาของราษฎรเสมอ
4. ก็เลยต้องตกเป็นของฉัน
นอกจากพระราชภารกิจอื่นๆ ที่ทรงทำอยู่เป็นประจำแล้ว บางครั้งในหลวงร.9 ก็ต้องทรงทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยปัญหาครอบครัว อย่างเช่นครั้งหนึ่งชาวเขาคนหนึ่งมากราบบังคมทูลกับพระองค์ว่า ตัวเขานั้นได้ให้หมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งแก่เมียไป แต่เมียกลับนำเงินก่อนนั้นหนีไปกับชู้ พระองค์ได้ทรงตัดสินว่าเขาผู้ซึ่งเป็นสามีจะต้องได้รับเงินชดใช้ และให้ปล่อยภรรยาไป
รับสั่งเล่าด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า
“แต่ที่แย่ก็คือ ฉันต้องควักเงินให้ไป…หญิงผู้นั้นก็เลยต้องตกเป็นของฉัน” รับสั่งแล้วก็ทรงพระสรวล
5. เป็นญาติกับฉัน
เมื่อครั้งทรงเสด็จฯ พระราชดำเนินทางทะเล ระหว่างทางได้ผ่านเกาะช้าง ทรงตรัสถามข้าราชการท้องถิ่นคนหนึ่งว่าเกาะนั้นชื่ออะไร ข้าราชการคนนั้นจึงได้กราบบังคมทูลไปว่า
“เกาะนั้นทรงพระนามว่าเกาะช้างพะยะค่ะ”
ได้ยินดังนั้น พระองค์ก็ทรงตรัสด้วยพระราชอารมณ์ขันกลับไปว่า
“ถ้างั้นก็เป็นญาติกับฉันน่ะสิ”
6. ไม่ใช่มิกกี้เมาส์
เมื่อครั้งที่พระองค์มีพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น ในครั้งนั้นก็มีเจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ เมื่อท่านทราบเรื่องก็ทรงตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า
“ไปบอกเขานะ เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์”
7. จะท้องได้ยังไง
มีครั้งหนึ่งที่ทรงมีพระอาการประชวรที่พระฉวี (ผิวหนัง) คือทรงมีพระอาการคัน หมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งได้ไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา ด้วยความตื่นเต้นและความประหม่าจึงกราบบังคมทูลเป็นราชาศัพท์ผิดๆ ถูกๆ ว่า
“เอ่อ…ทรง…อ่า…ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ”
พอได้ยินดังนั้นในหลวงร.9 ก็ทรงพระสรวลแล้วตรัสกับหมอว่า “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่ จะท้องได้ยังไง”
สุดท้ายเมื่อทรงเห็นว่าหมอคนนี้ไม่ถนัดราชาศัพท์ จึงรับสั่งให้ใช้ภาษาอังกฤษในการสนทนาแทน
8. พระหมดแล้ว
ขณะที่ในหลวงร.9 ทรงเสด็จฯ ไปเยี่ยมราษฎรยังถิ่นทุรกันดาร พระองค์ได้ทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรทุกคนจนหมด แต่ก็ยังมีราษฎรคนหนึ่งที่ยังไม่ได้รับ เขาได้กราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องจากในหลวงร.9 ว่า
“ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์”
ทรงตรัสด้วยพระราชอารมณ์ขันกลับไปว่า
“ขอเดชะ พระหมดแล้ว”
9. FBI ของฉัน
เมื่อครั้งที่ในหลวงร.9 ได้ทรงพระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้แทนของนิตยสาร LOOK ทรงรับสั่งว่า
“เมื่อประธานาธิบดีของท่านมาเยือนประเทศไทย มีพวก FBI และหน่วย รปภ. ห้อมล้อมกันหนาแน่นไปหมด จนหาทางเดินไม่ได้ ถ้าฉันมาวัดพระแก้วแบบนั้นก็ไม่สามารถจะใกล้ชิดกับประชาชนได้ ถ้ามีผู้คนเบียดกันเข้ามาใกล้เกินไป จะมีคุณยายพูดขึ้นว่า ‘หลีกทางให้ในหลวงหน่อยเถอะ’ คุณยายนั่นแหละคือ FBI ของฉัน”